หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คนเลวผู้โชคดี

คนเลวผู้โชคดี

ภาพจาก http://gtrust.igetweb.com/?mo=3&art=223755

          ผมยังจำได้ดีในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ผมเป็นนักศึกษาชั้นปี ๓ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่  ช่วงเวลานั้นนักศึกษาหลายคนกำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบกลางภาคอันแสนทรหด และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับพวกเขา
๐๗.๓๐ น.
          ‘ทำอย่างไรดี อ่านหนังสือไม่ทัน’ ผมคิดในใจด้วยความกระวนกระวายใจ แต่เพื่อนผมหลายคนกลับเปิดประเด็นการสนทนากับเพื่อนคนอื่นๆด้วยประโยคนี้
         ‘อีก ครึ่งชั่วโมง ก็จะต้องเข้าห้องสอบแล้ว ยังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลย วิชาที่ลงก็ยากเสียนี่กระไร ทำไมต้องให้คนที่เรียนภาษามาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพันธภาพด้วยนะ’ ผมคิดในใจอีกครั้ง
         ‘เอ๊ะ หรือว่าครั้งนี้เราจะโกงข้อสอบดี’ ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวผม ทำอย่างไรดี จะโกงหรือว่าไม่โกง
          'ถ้าโกงเราก็จะทำคะแนนสอบได้ดี แล้วผลการเรียนก็จะดีขึ้น' ความคิดฝ่ายเลวบอกผม
แต่ทันใดนั้น ความคิดฝ่ายดีกลับคัดค้านว่า 'อย่าเลย อย่าทำแบบนั้น ถ้าเธอทำแล้วอาจารย์จับได้ จะทำอย่างไร ต้องถูกปรับตก ถูกพักการเรียน แล้วก็จะไม่ได้เกียรตินิยมอย่างที่หวังไว้'
          ความคิดทั้งสองต่างถกเถียงกันในหัวของผม ไม่นาน ความคิดฝ่ายเลวก็ชนะ ใช่แล้ว ผมกำลังจะโกงข้อสอบ แต่ด้วยวิธีไหนดีที่อาจารย์จะไม่มีวันล่วงรู้ถึงความเลวของผมครั้งนี้ ทำอย่างไรดี จดใส่กระดาษแล้วเอาไว้ในถุงดินสอดีไหม เขียนใส่ไว้ที่มือเลยดีไหม หรือว่าจะเอาหนังสือแอบไว้ในห้องน้ำแล้วแอบขออนุญาตอาจารย์คุมสอบเข้าห้องน้ำดีนะ
          สรุปง่ายๆเลยแล้วกัน ทำทั้งสามวิธีเลยดีกว่า
๐๘.๐๐ น.
         เพื่อนทุกคนต่างกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งสามโลกก่อนที่จะเข้าห้องสอบ และผมก็ทำอย่างนั้นเช่นกัน พวกเขาคงบนบานสานกล่าวให้เทพเทวดาช่วยให้ทำข้อสอบได้ แต่สำหรับผมแล้ว ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบังตาอาจารย์คุมสอบไม่ให้เห็นโพยข้อสอบของผมทีเถอะ
         'นักศึกษาทุกคนเข้าห้องสอบได้' อาจารย์คุมสอบสาวสวยนาม สาวิตรี เรียกทุกคนเข้าห้องสอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาก่อนที่จะอธิบายคำชี้แจงต่างๆในข้อสอบ และไม่ลืมที่จะย้ำประโยคสุดท้ายในคำชี้แจงว่า นักศึกษาทุกคนอย่าโกงข้อสอบนะ เพราะถ้าหากโกงข้อสอบ แล้วอาจารย์คุมสอบจับได้จะถูกปรับตกในวิชานี้ทันที และพักการเรียนหนึ่งภาคการศึกษา ในขณะที่พูด อาจารย์มองมาทางผมด้วยสายตาเย็นชาคู่นั้นราวกับรู้ว่าผมกำลังจะฝ่าฝืนคำชี้แจงข้อสุดท้ายนี้ ผมตกใจเล็กน้อยก่อนหลบสายตาอาจารย์อย่างลุกลี้ลุกลน
๐๘.๐๗ น.
          ผมพลิกข้อสอบที่คว่ำอยู่เพื่อดูในแต่ละข้อ ผมอ่านข้อสอบแต่ละข้อและคิดว่าจะเลือกตอบข้อที่ง่ายที่สุดเท่าที่สติปัญญาของผมจะทำได้ก่อน พลันดวงตาเบิกโพลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะข้อสอบนั้นยากเกินกว่าที่คนเรียนภาษาอย่างผมจะทำได้ข้อหนึ่งก็แล้ว ข้อสองก็แล้ว นี่ไอน์สไตน์เป็นคนออกข้อสอบด้วยตัวของเขาเองหรือเปล่านะ
          ผมสังเกตเพื่อนของผมที่มาสอบพร้อมกันกับผม ซึ่งก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตกแทบทุกคน ผมนั่งคิดอยู่นานว่าผมควรทำอย่างไรดี ผมควรจะดูโพยข้อสอบเลยดีไหม ดูสิ่งที่ผมเขียนไว้ที่มือ หรือว่าขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำก่อนดี
๐๘.๓๐ น.
          ผมมองเพื่อนผมอีกครั้ง พวกเพื่อนๆต่างก็ยังคงนั่งทำคิ้วชนกันเหมือนเดิม อาจจะมีบางคนที่เริ่มทำข้อสอบบ้างแล้ว แต่ส่วนมากผมก็เห็นเพื่อนๆนั่งวาดรูปมากกว่า เป็นผมก็คงต้องทำอย่างนั้น หากผมไม่มีโพยข้อสอบอยู่ในมือ และหนังสือในห้องน้ำ
๐๘.๔๒ น.
          ผมตัดสินใจขออนุญาตอาจารย์สาวิตรีไปเข้าห้องน้ำ   ผมตื่นเต้นมากและมีเหงื่อออกเล็กน้อย นี่ผมกำลังจะทำผิดใช่ไหม ผมรีบเร่งทำธุระส่วนตัวทุกอย่างก่อนที่จะเริ่มเปิดหนังสือวิทยาศาสตร์ที่หน้าปกเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า “ทฤษฎีสัมพันธภาพ” ผมพลิกไปแต่ละหน้าของหนังสือเพื่อที่จะจำคำตอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะจำได้
๐๙.๐๐ น.
          ผมกลับเข้ามาในห้องสอบอีกครั้ง และกลับมานั่งในที่นั่งเดิมของผม อาจารย์มองผมในขณะที่เข้าห้องด้วยสายตาที่แปลกไป หรือว่าอาจารย์รู้แล้วว่าผมแอบดูหนังสือในระหว่างที่เข้าห้องน้ำ ผมควรทำอย่างไรดี ทันใดนั้น ความคิดฝ่ายเลวก็บอกผมว่า 'อย่าพึ่งหวั่นวิตกไป อาจารย์ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย' และผมก็เริ่มทำข้อสอบข้อต่อไป
๐๙.๕๐ น.
         ผมตัดสินใจลอกโพยข้อสอบในถุงดินสอและสิ่งที่ผมเขียนไว้ในมือด้วยเช่นกัน ผมตื่นเต้นมากๆ หัวใจผมดูเหมือนจะเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิมมากเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะว่าความกลัวในใจของผมมีมากขึ้นเท่ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ กลัวที่อาจารย์สาวสวยจะรู้ความเลวครั้งนี้ของผม อาจารย์มองผมบ่อยขึ้นกว่าเดิม ทำไมกัน ผมคิดในใจ 'อาจารย์ต้องรู้แล้วแน่ๆเลย' ผมควรทำอย่างไรดี
  วินาทีนั้นผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในใจก็ได้แต่นั่งโทษตัวเองว่า 'ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ไม่น่าโกงข้อสอบเลย ทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ ทำไมต้องหวังเอาคะแนน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง' ผมควรทำอย่างไรดี ผมควรจะบอกอาจารย์ไหมว่าผมทำข้อสอบได้เพราะผมมีตัวช่วย หรือว่าไม่ควรบอกดี ปล่อยให้มันผ่านเลยไป
๑๐.๒๑ น.
         เหลือเวลาอีกเกือบ ๔๐ นาทีก่อนที่จะหมดเวลาสอบ แต่ผมทำข้อสอบเสร็จหมดแล้วทุกข้อ และเชื่อว่าตอบถูกเกือบทั้งหมด ก็เพราะผมโกงข้อสอบนี่น่ะจึงทำให้ผมทำข้อสอบได้ ผมควรจะส่งข้อสอบเลยดีไหม หรือว่านั่งคอยเวลาให้หมดชั่วโมงก่อน ผมมองไปที่เพื่อนอีกครั้ง เห็นเพื่อนหลายคนนั่งหลับไปแล้ว พวกเขาก็คงทำไม่ได้จริงๆนั่นแหละ ผมมองไปรอบๆห้องแล้วก็หยุดมองมาที่อาจารย์สาวิตรี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่อาจารย์ก็มองมาทางผมเช่นกัน สองสายตามองประสานกัน ผมหลบตาและลุกขึ้นพลันหยิบข้อสอบของตนเองเพื่อนำไปส่ง ผมเดินไปที่โต๊ะของอาจารย์อย่างเชื่องช้าราวกับว่าสองขาของผมถูกตุ้มเหล็กถ่วงเอาไว้ก็มีปาน เมื่อผมเดินมาถึงที่หมาย ผมก็วางกระดาษข้อสอบของผมลงบนนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อาจารย์พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า 'เธอทำข้อสอบเสร็จแล้วใช่ไหม รีบตามอาจารย์ออกไปข้างนอกห้องเลย อาจารย์มีอะไรจะบอกเธอ'  เมื่อพูดจบอาจารย์ลุกขึ้นเดินออกไปทางประตู
๑๐.๒๔ น.
          ผมเดินคอตกตามอาจารย์ไป เหงื่อทั่วร่างกายต่างแย่งกันออกมาจากทุกรูขุมขน นี่ผมกำลังจะสอบตกวิชานี้ใช่ไหมและนี่ผมกำลังจะถูกพักการเรียนใช่ไหม ทำอย่างไรดี ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยดลบันดาลให้นี่เป็นแค่ฝันทีเถอะ หรือช่วยดลบันดาลให้อาจารย์ลืมสิ่งที่จะพูดทีเถอะ
๑๐.๒๗ น.
          ผมอยู่นอกห้องสอบกับอาจารย์เพียงสองคน
          'อาจารย์อยากบอกเธอในห้องสอบแล้ว แต่เกรงว่าจะเป็นการประจานเธอเกินไป' อาจารย์พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
          ผมตกใจมาก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พลางคิดว่า 'ต้องเป็นเรื่องที่ผมแอบอ่านหนังสือในห้องน้ำเป็นแน่'
         'เมื่อกี้ ตอนที่เธอขออนุญาตเข้าห้องน้ำนะ' อาจารย์พูดกับผมต่อ
         'ครับ ทำไมเหรอครับ' ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่กล้าๆกลัวๆ
         'แล้วตอนที่เธอออกมาจากห้องน้ำนะ'
         หยดเหงื่อตามรูขุมขนต่างแย่งกันออกมาทั่วร่างกาย ต้องใช่แน่ๆ อาจารย์คงรู้แล้วว่าผมแอบอ่านหนังสือในห้องน้ำ ผมควรจะสารภาพบาปกับอาจารย์ได้แล้ว เพื่อที่โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา เผื่ออาจารย์จะมีบทลงโทษอย่างอื่นกับผมที่เบากว่าการสอบตกและการถูกพักการเรียน
        'ตอนที่เธอออกมาจากห้องน้ำนะ' อาจารย์พูดประโยคเดิมอีกครั้งก่อนที่อาจารย์จะบอกว่า
        'เธอลืมรูดซิป!!!'