หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องในหลวง ที่เราอาจจะไม่เคยรู้




1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45.
2. นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3. พระนามภูมิพลได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5. ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษาทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า ‘H.H Bhummibol Mahidol’หมายเลขประจำตัว 449
7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่าแม่
8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทยทรงตั้งชื่อให้ว่าบ๊อบบี้
12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14. ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จักการให้โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่ากระป๋องคนจนเอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูกเก็บภาษีหยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่าลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน
17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจากการเล่นสมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือแสงเทียนจนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลงเราสู้
26. รู้ไหม…? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯรพ.ภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนายอินทร์และติโตทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่พระมหาชนกทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกีฬาซีเกมส์‘) ครั้งที่ 4 ปี พ..2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือกังหันชัยพัฒนาเมื่อปี 2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ! ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่าน่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม...สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรงฮันนีมูนที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้าพอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับเมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นานค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ...คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่าความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก! บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่านายหลวงภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่าทำราชการ
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่าอันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ..2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

ความขยัน



สามวันก่อนเปิดภาคเรียน...
ช่วงเวลาของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่กำลังเรียกหา คราวนี้ต้องขยันอ่านหนังสือเสียแล้ว เพื่อให้ได้คณะที่หวังไว้ เตรียมตัวอย่างไรดี อ่านหนังสือเล่มไหนก่อนดี จัดกระเป๋าเรียบร้อย ชุดนักเรียนเตรียมพร้อม ตื่นเต้นจังเลย อยากเจอเพื่อนใหม่เร็วๆ เป็นความคิดของฉันก่อนที่จะเปิดเทอม
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...
            รู้จักเพื่อนใหม่แล้วทุกคนใจดีมาก ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องทำตามความฝันของฉันในการสอบเข้าในคณะที่ฉันฝันไว้ในมหาวิทยาลัยชื่อดังให้ได้ ฉันจำเป็นต้องอ่านหนังสือแล้ว แต่เอ๊ะ!!! เพื่อนฉันโทรมา เพื่อชวนฉันไปเที่ยว เย้ๆ เพื่อนใจดีตังเลย งั้นไปเที่ยวก่อนแล้วค่อยมาอ่านหนังสือดีกว่า เหลือเวลาอ่านอีกตั้งหลายอาทิตย์
หนึ่งเดือนต่อมา...
            ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วหรือนี่ ยังไม่ได้แตะหนังสือเลยแม้แต่เล่มเดียว ได้เวลาอ่านหนังสือแล้วก่อนที่จะสายเกินไป แต่เอ๊ะ!!! เพื่อนกำลังทำอะไรอยู่นั่นน่ะ เพื่อนๆกำลังเล่นเฟสบุ๊ค อยากเล่นบ้างจังเลย เพื่อนๆเลยสมัครเฟสบุ๊คให้ไว้ ที่นี้เลยติดงอมแงมเลย งั้นเล่นก่อนแล้วค่อยมาอ่านหนังสือดีกว่า เหลือเวลาอ่านอีกตั้งหลายเดือน
ห้าเดือนต่อมา...
            นี่ปิดเทอมหนึ่งแล้วหรือเนี๊ยะ ยังไม่ได้อ่านหนังสือแม้แต่เล่มเดียวเลย คราวนี้แหละจะตั้งใจอ่านหนังสือช่วงปิดเทอมเล็กเดือนตุลาคมเน๊ยะแหละ แต่เอ๊ะ พ่อแม่บอกว่าจะหยุดพาฉันไปเที่ยวทะเล ตื่นเต้นจังเลย จะได้เห็นทะเลครั้งแรก งั้นไปเที่ยวทะเลก่อนค่อยมาอ่านหนังสือดีกว่า เหลือเวลาอ่านอีกตั้งหลายเทอม
หนึ่งปีต่อมา...
            ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าแล้ว จะตั้งใจอ่านหนังสือแล้ว ที่นี้ล่ะ จะต้องได้ใส่ชุดนักศึกษาในคณะที่อยากเรียนแน่ๆ แต่เอ๊ะ!!! มีคนมาจีบ หล่อด้วย เขาเอาใจใส่ดูแลดีทุกอย่าง งั้นอยู่กับแฟนก่อนค่อยมาอ่านหนังสือดีกว่า เหลือเวลาอ่านอีกตั้งหลายปี

สามปีต่อมา...
              ...

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่องสั้น : เหตุเกิดเพราะตาขวา



๐๖.๐๐ น.
กริ้ง!!! เสียงนาฬิกาบอกเวลายามเช้า ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับ ผมรีบลุกออกจากที่นอน บิดขี้เกียจสักสองสามที ก่อนที่จะพับผ้าห่มแล้วลุกเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว
๐๖.๓๐ น.
            ผมมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดตรงผนังห้อง ก่อนที่ผมจะรีบไปอาบน้ำ วันนี้ผมก็อาบน้ำตามปกติ แต่เผอิญว่า วันนี้ตาขวาของผมกระตุกบ่อยมากในขณะที่ผมอาบน้ำ ทำให้ผมพึมพำกับตัวเองว่า “วันนี้ต้องเจอเรื่องโชคร้ายตลอดทั้งวันแน่ๆเลย” ตามที่คนโบราณบอกไว้ว่า "ขวาร้าย ซ้ายดี"
๐๗.๐๐ น.
ผมรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว สวมสูท ผูกเนคไท ก่อนที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวออกไปจากบ้านของตนเอง ก่อนที่ผมจะสายไปมากกว่านี้ ผมขับตรงไปที่ประตูบ้านของผม เลี้ยวขวา เพื่อมุ่งไปยังบริษัทที่ผมทำงาน ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเช่นวันอื่นๆที่ผ่านมา แต่วันนี้ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดไว้เคราเต็มหน้า สวมแว่นตาดำ กำลังมองมาที่บ้านของผม แต่ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก ผมจึงคลายความสนใจก่อนที่จะเหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งไปยังจุดหมาย
๐๘.๐๐ น.
            นี่ผมสายมากๆแล้ว ผมไม่อยากให้คนในบริษัทมองผมไม่ดี มองผมว่าไม่มีความรับผิดชอบ มาทำงานสาย ถึงแม้ผมจะเป็นผู้จัดการแผนกที่มีเงินเดือนเหยียบแสนไม่รวมค่าสวัสดิการอื่นๆ แต่ผมก็อยากดูดีไร้ที่ติในสายตาคนรอบข้างเหมือนกัน เพื่อหาใครสักคนมาเป็นคู่เคียงข้าง และไม่ปล่อยให้ผมอยู่บ้านคนเดียวเหมือนเช่นทุกวันนี้
๐๙.๓๐ น.
            กว่าผมจะมาถึงบริษัทก็ต้องใช้เวลาถึงชั่วโมงครึ่ง ไม่ใช่เพราะที่ทำงานของผมอยู่ไกล แต่เป็นเพราะการจราจรบนท้องถนนติดขัดเหมือนเช่นวันก่อนๆและยิ่งไปกว่านั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นในเส้นทางที่ผมต้องใช้ขับเป็นประจำเพื่อมายังบริษัท ทำให้วันนี้ผมมาสายกว่าปกติ และสิ่งนี้เองกระมัง ที่เป็นสาเหตุทำให้ตาขวาของผมกระตุกบ่อยตอนที่ผมอาบน้ำ
๑๒.๐๐ น.
            ผมขับรถออกไปเพื่อไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านโปรดของผมที่ผมมาทานเป็นประจำ ซึ่งอยู่ตรงหน้าปากซอยก่อนที่จะเข้ามาบริษัทผม ผมสั่งกระเพราะหมูกรอบเหมือนเช่นวันที่ผ่านมา ตาขวาของผมเริ่มกระตุกอีกแล้ว เหตุร้ายอะไรจะเกิดกับผมอีกนะ
๑๓.๐๐ น.
            และแล้วเหตุร้ายที่ว่าก็เกิดขึ้น ผมลืมเอากระเป๋าเงินติดตัวมาด้วย ผมไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว ผมจะทำอย่างไรดี ผมเลยตัดสินใจเดินไปที่แม่ค้าเพื่อบอกถึงสาเหตุที่ผมลืมเอากระเป๋าเงินมา ซึ่งแม่ค้าก็ใจดีบอกว่า ครั้งหน้าค่อยเอามาให้ก็ได้ ผมกล่าวขอบคุณแม่ค้าแล้วขับรถออกไป
๑๘.๐๐ น.
            วันนี้ผมก็เลิกงานตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน ผมขับรถออกจากบริษัทเพื่อกลับบ้าน ผมจะนำเงินไปคืนแม่ค้าแต่ไม่ทันเสียแล้ว แม่ค้าปิดร้านไปแล้ว ผมมองไปที่ร้านแต่ทันใดนั้นเอง ตาขวาของผมกระตุกอีกแล้ว “วันนี้มันจะซวยอะไรกันนักกันหนาว่ะ” ผมพูดออกไปด้วยความโมโห
๑๘.๓๐ น.
            ผมกลับมาถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไปในบ้านและนั่งลงตรงโซฟาที่ห้องรับแขก ผมเปิดรายการโทรทัศน์ที่ผมชอบดูเป็นประจำ ดูข่าว และทำกับข้าวกินเอง
๒๒.๐๐ น.
            ผมอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ดื่มนมอุ่นๆที่เตรียมไว้ แล้วเดินไปที่เตียง ห่มผ้า ผมอธิษฐานในใจว่า “ขอให้วันพรุ่งนี้ เจอแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิตด้วยเถิด” และผมก็หลับไป
๐๒.๐๐ น.
            ผมต้องตื่นขึ้นมาเพราะผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากทางหลังบ้าน ผมเดินไปดู และสิ่งที่ผมเห็นคือกลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนที่กำลังรื้อข้าวของในบ้านของผม เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ หนึ่งในชายฉกรรจ์เห็นผมจึงบอกให้พรรคพวกเข้ามาจับผมมัดติดกับเก้าอี้ หนึ่งในชายฉกรรจ์เดินเข้ามาหาผมแล้วตะคอกใส่หน้าผมว่า “เงินอยู่ที่ไหน”
            ตอนแรกผมขัดขืนไม่ยอมบอก แต่ด้วยความกลัวประกอบกับปืนที่กำลังจ่อหัวผมอยู่ จึงทำให้ผมบอกที่ซ่อนเงินของผมให้พวกเขารู้
            “เงินเยอะเหมือนกันนี่ผู้จัดการ อยู่คนเดียวไม่เห็นต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้เลย แบ่งให้พวกผมใช้บ้างก็ดีนะ ฮ่าๆ”  หนึ่งในชายฉกรรจ์พวกนั้นพูดพร้อมหัวเราะขึ้น ทำให้คนอื่นๆหัวเราะตาม ผมสังเกตชายฉกรรจ์คนนี้ และก็นึกถึงหน้าชายคนหนึ่ง ชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดไว้เคราเต็มหน้า สวมแว่นตาดำ ที่ผมเจอเมื่อตอนเช้า และผมคิดว่าเขาก็คงเป็นหัวหน้าในการปล้นครั้งนี้แน่นอน
            “แล้วเราจะเอาไงกับมันดีล่ะครับ ลูกพี่” ความคิดผมไม่ผิดพลาด หนึ่งในชายฉกรรจ์พูดกับหัวหน้าของตน
            “มันเห็นหน้าพวกเราแล้ว จะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ยิงทิ้งเลย” หัวหน้าพูดขึ้นเพื่อเป็นการเสนอทางออก
            “อย่านะ อย่าทำอะไรผมเลย เงินของผมพวกคุณก็ได้ไปแล้ว ไว้ชีวิตผมเถอะ” ผมกล่าวอ้อนวอนเผื่อว่าพวกเขาจะใจอ่อน
            “ไม่!!!” ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าตะคอกก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “มึงเห็นหน้าพวกกูแล้วก็ปล่อยมึงให้รอดไม่ได้หรอก”
            สิ้นเสียงหัวหน้า ลูกน้องหยิบปืนขึ้นจ่อหัวผมอีกครั้ง
            “ขอให้วันพรุ่งนี้ เจอแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิตด้วยเถิด” คำอธิษฐานของผมที่ผมได้อธิฐานไปก่อนนอน ไม่เป็นจริงเสียแล้ว เพราะผมกำลังจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ตื่นขึ้นมาเจอวันดีๆอีกต่อไปแล้ว
            ผมหลับตาลง แล้วนึกในใจว่า “นี่คงเป็นสิ่งที่ตาขวาของผมพยายามจะบอกผมใช่ไหม” ขอบคุณนะครับ “ตาขวา” แต่ผมคงจะโง่เองที่ไม่ยอมเชื่อคุณ ลาก่อนครับ
            ผมหลับตาลง ก่อนที่จะ...
            ปัง!!! เสียงกระสุนปืนแล่นออกมาจากลำกล้องมุ่งตรงมาที่หัวของผม ทุกอย่างค่อยๆมืดลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะมองไม่เห็นอะไรเลย
.
.
.
๐๖.๐๐ น.
กริ้ง!!! เสียงนาฬิกาบอกเวลายามเช้า ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับ ผมรีบ...

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

เงินสำคัญจริงหรือ???


เงินสำคัญจริงหรือ???


มีเครื่องบินลำหนึ่ง บรรทุกผู้โดยสารสองคน คนหนึ่งร่ำรวยมหาศาล ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนธรรมดา เครื่องบินเคลื่อนตัวออกจากสนามบินและไม่กี่ชั่วโมงเครื่องเกิดขัดข้องทำให้กัปตันต้องบอกผู้โดยสายให้ทิ้งเครื่องเพื่อเอาชีวิตรอดก่อนที่เครื่องบินจะตกลงกลางทะเลทราย พวกเขาทั้งสองต้องเลือกของหนึ่งสิ่งบนเครื่องบินเพื่อเอาติดไม้ติดมือลงไปด้วยก่อนที่เครื่องบินจะตก หลังจากนั้นเครื่องบินก็ปล่อยพวกเขาลงไปกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ
เศรษฐีเลือกหยิบเงินจำนวนห้าพันล้านบาทลงมาก่อนที่เครื่องบินจะตก แต่คนธรรมดากลับไม่เหลียวมองเงินเลยแม้แต่น้อย แต่เขาเลือกที่จะหยิบน้ำหนึ่งถังลงมาด้วย
ถึงตรงนี้อยากทราบว่า อีกสามวันให้หลัง ใครจะตายและใครจะรอด...?

นี่นะหรือคือสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “พระเจ้า”
ในยามคับขันเช่นนี้ “พระเจ้า” กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย
เมื่อมีใครสักคนถามว่า “คุณคิดว่าเงินสำคัญไหม...?”
ก็ไม่ต้องอายที่จะบอกเขาให้รู้ว่า...

มีเครื่องบินลำหนึ่ง บันทึกผู้โดยสารสองคน คนหนึ่ง...

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คนเลวผู้โชคดี

คนเลวผู้โชคดี

ภาพจาก http://gtrust.igetweb.com/?mo=3&art=223755

          ผมยังจำได้ดีในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ผมเป็นนักศึกษาชั้นปี ๓ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่  ช่วงเวลานั้นนักศึกษาหลายคนกำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบกลางภาคอันแสนทรหด และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับพวกเขา
๐๗.๓๐ น.
          ‘ทำอย่างไรดี อ่านหนังสือไม่ทัน’ ผมคิดในใจด้วยความกระวนกระวายใจ แต่เพื่อนผมหลายคนกลับเปิดประเด็นการสนทนากับเพื่อนคนอื่นๆด้วยประโยคนี้
         ‘อีก ครึ่งชั่วโมง ก็จะต้องเข้าห้องสอบแล้ว ยังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลย วิชาที่ลงก็ยากเสียนี่กระไร ทำไมต้องให้คนที่เรียนภาษามาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพันธภาพด้วยนะ’ ผมคิดในใจอีกครั้ง
         ‘เอ๊ะ หรือว่าครั้งนี้เราจะโกงข้อสอบดี’ ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวผม ทำอย่างไรดี จะโกงหรือว่าไม่โกง
          'ถ้าโกงเราก็จะทำคะแนนสอบได้ดี แล้วผลการเรียนก็จะดีขึ้น' ความคิดฝ่ายเลวบอกผม
แต่ทันใดนั้น ความคิดฝ่ายดีกลับคัดค้านว่า 'อย่าเลย อย่าทำแบบนั้น ถ้าเธอทำแล้วอาจารย์จับได้ จะทำอย่างไร ต้องถูกปรับตก ถูกพักการเรียน แล้วก็จะไม่ได้เกียรตินิยมอย่างที่หวังไว้'
          ความคิดทั้งสองต่างถกเถียงกันในหัวของผม ไม่นาน ความคิดฝ่ายเลวก็ชนะ ใช่แล้ว ผมกำลังจะโกงข้อสอบ แต่ด้วยวิธีไหนดีที่อาจารย์จะไม่มีวันล่วงรู้ถึงความเลวของผมครั้งนี้ ทำอย่างไรดี จดใส่กระดาษแล้วเอาไว้ในถุงดินสอดีไหม เขียนใส่ไว้ที่มือเลยดีไหม หรือว่าจะเอาหนังสือแอบไว้ในห้องน้ำแล้วแอบขออนุญาตอาจารย์คุมสอบเข้าห้องน้ำดีนะ
          สรุปง่ายๆเลยแล้วกัน ทำทั้งสามวิธีเลยดีกว่า
๐๘.๐๐ น.
         เพื่อนทุกคนต่างกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งสามโลกก่อนที่จะเข้าห้องสอบ และผมก็ทำอย่างนั้นเช่นกัน พวกเขาคงบนบานสานกล่าวให้เทพเทวดาช่วยให้ทำข้อสอบได้ แต่สำหรับผมแล้ว ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบังตาอาจารย์คุมสอบไม่ให้เห็นโพยข้อสอบของผมทีเถอะ
         'นักศึกษาทุกคนเข้าห้องสอบได้' อาจารย์คุมสอบสาวสวยนาม สาวิตรี เรียกทุกคนเข้าห้องสอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาก่อนที่จะอธิบายคำชี้แจงต่างๆในข้อสอบ และไม่ลืมที่จะย้ำประโยคสุดท้ายในคำชี้แจงว่า นักศึกษาทุกคนอย่าโกงข้อสอบนะ เพราะถ้าหากโกงข้อสอบ แล้วอาจารย์คุมสอบจับได้จะถูกปรับตกในวิชานี้ทันที และพักการเรียนหนึ่งภาคการศึกษา ในขณะที่พูด อาจารย์มองมาทางผมด้วยสายตาเย็นชาคู่นั้นราวกับรู้ว่าผมกำลังจะฝ่าฝืนคำชี้แจงข้อสุดท้ายนี้ ผมตกใจเล็กน้อยก่อนหลบสายตาอาจารย์อย่างลุกลี้ลุกลน
๐๘.๐๗ น.
          ผมพลิกข้อสอบที่คว่ำอยู่เพื่อดูในแต่ละข้อ ผมอ่านข้อสอบแต่ละข้อและคิดว่าจะเลือกตอบข้อที่ง่ายที่สุดเท่าที่สติปัญญาของผมจะทำได้ก่อน พลันดวงตาเบิกโพลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะข้อสอบนั้นยากเกินกว่าที่คนเรียนภาษาอย่างผมจะทำได้ข้อหนึ่งก็แล้ว ข้อสองก็แล้ว นี่ไอน์สไตน์เป็นคนออกข้อสอบด้วยตัวของเขาเองหรือเปล่านะ
          ผมสังเกตเพื่อนของผมที่มาสอบพร้อมกันกับผม ซึ่งก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตกแทบทุกคน ผมนั่งคิดอยู่นานว่าผมควรทำอย่างไรดี ผมควรจะดูโพยข้อสอบเลยดีไหม ดูสิ่งที่ผมเขียนไว้ที่มือ หรือว่าขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำก่อนดี
๐๘.๓๐ น.
          ผมมองเพื่อนผมอีกครั้ง พวกเพื่อนๆต่างก็ยังคงนั่งทำคิ้วชนกันเหมือนเดิม อาจจะมีบางคนที่เริ่มทำข้อสอบบ้างแล้ว แต่ส่วนมากผมก็เห็นเพื่อนๆนั่งวาดรูปมากกว่า เป็นผมก็คงต้องทำอย่างนั้น หากผมไม่มีโพยข้อสอบอยู่ในมือ และหนังสือในห้องน้ำ
๐๘.๔๒ น.
          ผมตัดสินใจขออนุญาตอาจารย์สาวิตรีไปเข้าห้องน้ำ   ผมตื่นเต้นมากและมีเหงื่อออกเล็กน้อย นี่ผมกำลังจะทำผิดใช่ไหม ผมรีบเร่งทำธุระส่วนตัวทุกอย่างก่อนที่จะเริ่มเปิดหนังสือวิทยาศาสตร์ที่หน้าปกเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า “ทฤษฎีสัมพันธภาพ” ผมพลิกไปแต่ละหน้าของหนังสือเพื่อที่จะจำคำตอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะจำได้
๐๙.๐๐ น.
          ผมกลับเข้ามาในห้องสอบอีกครั้ง และกลับมานั่งในที่นั่งเดิมของผม อาจารย์มองผมในขณะที่เข้าห้องด้วยสายตาที่แปลกไป หรือว่าอาจารย์รู้แล้วว่าผมแอบดูหนังสือในระหว่างที่เข้าห้องน้ำ ผมควรทำอย่างไรดี ทันใดนั้น ความคิดฝ่ายเลวก็บอกผมว่า 'อย่าพึ่งหวั่นวิตกไป อาจารย์ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย' และผมก็เริ่มทำข้อสอบข้อต่อไป
๐๙.๕๐ น.
         ผมตัดสินใจลอกโพยข้อสอบในถุงดินสอและสิ่งที่ผมเขียนไว้ในมือด้วยเช่นกัน ผมตื่นเต้นมากๆ หัวใจผมดูเหมือนจะเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิมมากเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะว่าความกลัวในใจของผมมีมากขึ้นเท่ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ กลัวที่อาจารย์สาวสวยจะรู้ความเลวครั้งนี้ของผม อาจารย์มองผมบ่อยขึ้นกว่าเดิม ทำไมกัน ผมคิดในใจ 'อาจารย์ต้องรู้แล้วแน่ๆเลย' ผมควรทำอย่างไรดี
  วินาทีนั้นผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในใจก็ได้แต่นั่งโทษตัวเองว่า 'ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ไม่น่าโกงข้อสอบเลย ทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ ทำไมต้องหวังเอาคะแนน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง' ผมควรทำอย่างไรดี ผมควรจะบอกอาจารย์ไหมว่าผมทำข้อสอบได้เพราะผมมีตัวช่วย หรือว่าไม่ควรบอกดี ปล่อยให้มันผ่านเลยไป
๑๐.๒๑ น.
         เหลือเวลาอีกเกือบ ๔๐ นาทีก่อนที่จะหมดเวลาสอบ แต่ผมทำข้อสอบเสร็จหมดแล้วทุกข้อ และเชื่อว่าตอบถูกเกือบทั้งหมด ก็เพราะผมโกงข้อสอบนี่น่ะจึงทำให้ผมทำข้อสอบได้ ผมควรจะส่งข้อสอบเลยดีไหม หรือว่านั่งคอยเวลาให้หมดชั่วโมงก่อน ผมมองไปที่เพื่อนอีกครั้ง เห็นเพื่อนหลายคนนั่งหลับไปแล้ว พวกเขาก็คงทำไม่ได้จริงๆนั่นแหละ ผมมองไปรอบๆห้องแล้วก็หยุดมองมาที่อาจารย์สาวิตรี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่อาจารย์ก็มองมาทางผมเช่นกัน สองสายตามองประสานกัน ผมหลบตาและลุกขึ้นพลันหยิบข้อสอบของตนเองเพื่อนำไปส่ง ผมเดินไปที่โต๊ะของอาจารย์อย่างเชื่องช้าราวกับว่าสองขาของผมถูกตุ้มเหล็กถ่วงเอาไว้ก็มีปาน เมื่อผมเดินมาถึงที่หมาย ผมก็วางกระดาษข้อสอบของผมลงบนนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่อาจารย์พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า 'เธอทำข้อสอบเสร็จแล้วใช่ไหม รีบตามอาจารย์ออกไปข้างนอกห้องเลย อาจารย์มีอะไรจะบอกเธอ'  เมื่อพูดจบอาจารย์ลุกขึ้นเดินออกไปทางประตู
๑๐.๒๔ น.
          ผมเดินคอตกตามอาจารย์ไป เหงื่อทั่วร่างกายต่างแย่งกันออกมาจากทุกรูขุมขน นี่ผมกำลังจะสอบตกวิชานี้ใช่ไหมและนี่ผมกำลังจะถูกพักการเรียนใช่ไหม ทำอย่างไรดี ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยดลบันดาลให้นี่เป็นแค่ฝันทีเถอะ หรือช่วยดลบันดาลให้อาจารย์ลืมสิ่งที่จะพูดทีเถอะ
๑๐.๒๗ น.
          ผมอยู่นอกห้องสอบกับอาจารย์เพียงสองคน
          'อาจารย์อยากบอกเธอในห้องสอบแล้ว แต่เกรงว่าจะเป็นการประจานเธอเกินไป' อาจารย์พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
          ผมตกใจมาก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พลางคิดว่า 'ต้องเป็นเรื่องที่ผมแอบอ่านหนังสือในห้องน้ำเป็นแน่'
         'เมื่อกี้ ตอนที่เธอขออนุญาตเข้าห้องน้ำนะ' อาจารย์พูดกับผมต่อ
         'ครับ ทำไมเหรอครับ' ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่กล้าๆกลัวๆ
         'แล้วตอนที่เธอออกมาจากห้องน้ำนะ'
         หยดเหงื่อตามรูขุมขนต่างแย่งกันออกมาทั่วร่างกาย ต้องใช่แน่ๆ อาจารย์คงรู้แล้วว่าผมแอบอ่านหนังสือในห้องน้ำ ผมควรจะสารภาพบาปกับอาจารย์ได้แล้ว เพื่อที่โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา เผื่ออาจารย์จะมีบทลงโทษอย่างอื่นกับผมที่เบากว่าการสอบตกและการถูกพักการเรียน
        'ตอนที่เธอออกมาจากห้องน้ำนะ' อาจารย์พูดประโยคเดิมอีกครั้งก่อนที่อาจารย์จะบอกว่า
        'เธอลืมรูดซิป!!!'